เครียดเว้ยเฮ้ย

มีสิ่งหนึ่งที่มนุษย์เราเกิดมาต้องพบเจอแน่นอน…………….
อะไรนะหรอ…………… ความตาย……………..
ไม่ใช่นะ………อันนี้เจอก่อนความตายอีก แล้วบางครั้งเจอมันก็เหมือนอยากจะตายเลยหละ
อะไรนะหรอ…………… ความเครียดไง……………. จำเราได้ไหมเพื่อน

ใช่แล้วครับความเครียดเนี่ยแหละที่เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องพบเจอกันอย่างแน่นอน และก็มักจะสร้างปัญหาให้กับพวกเราอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะเวลาช่วงสอบตก อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน หวยแดก แหกด่าน หรืออะไรก็ตามที

ความเครียดนี่มันแย่จริงๆเนอะ ชอบมาเจอเราตอนเราอยู่ในสภาพแย่ๆตลอดเลยจริงไหม……
แต่อย่าเพิ่งปรับปรำความเครียดกันมากจนเกินไปครับ
ลองคิดดูว่าความเครียดบางครั้งก็ช่วยสร้างพลังให้เราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และผ่าฟันปัญหาไปให้ได้

จากตรงนี้เลยมีนักจิตวิทยาที่ชื่อ Selye ได้แบ่งความเครียดออกเป็นสองประเภทง่ายๆ คือ

1) Eustress คือ ความเครียดที่ดี หรือความเครียดที่อยู่ในระดับพอเหมาะ คนที่เครียดเขารู้ว่าจัดการได้แต่ก็รู้สึกเครียดนิดนึงให้มันอินกันสถานการณ์และทำให้มีแรงผลักดัน อารมณ์คล้ายๆ เวลาใกล้สอบ แล้วเรารู้ว่าอ่านจบแหละแต่เราก็ยังรู้สึกเครียดๆหน่อยเพื่อให้เราไม่ชิวเกินไปไง

2) Distress คือ ความเครียดที่แย่ คือ แม่งเครียดเกินไป หรือเครียดบ่อย คนที่เครียดจะรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมความเครียดได้เลย คิดง่ายเวลาอกหักร้องไห้ขี้มูกโป่งนั่นแหละใช่เลย

แล้วความเครียดเกิดขึ้นมาได้ยังไงกัน?

จริงๆแล้วมีคนให้คำนิยามมากมายเลยนะความเครียดเนี่ย แต่ถ้าจะเอาที่ฮิตกันก็จะมีทฤษฎีของ Lazarus และ Folkman (1984) โดยทฤษฎีเขาจะมีโมเดลง่ายๆคือ

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น –> กระบวนการประเมิน ——> ผลของความเครียด

อธิบายง่ายๆเป็นขั้นตอนได้ดังนี้
1) เริ่มจากคนเราไปเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่เป็นตัวก่อความเครียด (stressor) ก่อน เช่น งานหนัก อกหัก แฟนทิ้ง
2) ต่อมาจะเริ่มประเมินว่าเราจัดการกับมันได้ไหม ถ้าเกิดประเมินแล้วสบายไหวแน่ จัดการได้ ก็ไม่เครียด
3) แต่ถ้าเกิดไม่ไหวหวะรับมือไม่ได้ ก็จะแสดงผลออกมาในรูปความเครียด

แล้วจากโมเดลที่บอกไปทำให้เราเข้าใจเหตุกาณ์ประหลาดอย่างนึงได้ เคยสังเกตไหม ทำไมคนสองคนเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน แต่กลับได้ผลลัพธ์ต่างกัน

จริงๆก็เพราะ เรื่องการประเมินนั่นแหละ มันอยู่ที่ว่าเรามองสถานการณ์ที่เข้ามายังไง บางคนมองแล้วเครียดก็เครียด บางคนกลับมองมันในอีกรูปแบบเช่น มองเป็นความท้าทาย เขาก็ไม่เครียด…. คนเรามันก็ต่างกันตรงนี้

ทีนี้ปัญหาที่ตามมาคือแล้วเราจะจัดการความเครียดยังไงหละ?

เรารู้สาเหตุของความเครียดละว่ามีปัจจัยหลัก 2 อย่าง
1) สิ่งที่ทำให้เราเครียด
2) กระบวนการประเมินของเรา

ดังนั้นจะจัดการความเครียดก็ง่ายมากก็ไปจัดการสองตัวนี้ไงหละ

1) จัดการกับสิ่งที่ทำให้เราเครียด (stressor)

ขั้นตอนที่สำคัญมากในการจัดการกับสิ่งที่เราเครียด…… คือจะต้องรู้ให้ก่อนว่าอะไรทำให้เราเครียด หลายครั้งหลายหนที่บางคนบอกว่าเครียดหวะ แต่พอถามว่าทำไมเครียดกลับไม่สามารถตอบได้ว่าเครียดเพราะอะไร

ซึ่งอันที่จริงแล้วมันมีแหละว่าอะไรเป็นตัวที่ทำให้เราเครียดแต่บางครั้งเราก็แค่ไม่อยากจะยอมรับมันเท่านั้นแหละ หลังจากระบุได้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราเครียด วิธีการจัดการกับมันก็คือ อย่าพาตัวเองไปเจอสิ่งนั้นนั่นเอง

เช่น เรารู้ว่าอกหักนี่แหละทำให้เราเครียด การที่เรายังคงพยายามติดต่อคนรักเก่าผ่าน line มองของขวัญที่เขาเคยให้ ไปในที่ที่เคยไปด้วยกันสองคนนั้นก็เป็นการเพิ่มให้เราเกิดความเครียดมากขึ้น

สิ่งที่ควรทำคือหลืกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา ออกจากบ้านไปพบปะกับผู้คนคุยกับคนอื่น ระบายความอึดอัดให้คนอื่นได้ฟัง……….

2) จัดการที่กระบวนการประเมิน

ซึ่งก็มักจะใช้เมื่อเราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงกับตัวก่อความเครียดพวกนี้ได้ เช่น เราเครียดเพราะการบ้านเยอะมากๆ ทำไม่ไหว แต่ถามว่าหลีกเลี่ยงได้ไหม ก็คงไม่ได้

ดังนั้นเราจำเป็นต้องจัดการในกระบวนการประเมินของเรา…….. คือ เปลี่ยนจากที่คิดว่าทำไม่ได้ ให้เป็นทำได้หรือจัดการได้

วิธีการที่ใช้กันอาจจะเป็นการแบ่งย่อยงานเป็นส่วนเล็กๆแล้วค่อยๆทำส่วนเล็กๆไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆแล้วที่คนมันคิดว่าทำไม่ได้หรอกงานนี้ เพราะเรามันมองภาพใหญ่จนเกินไปและสรุปว่าทำไม่ได้หรอก ไม่ทำแล้วเว้ย เครียด สุดท้ายก็ทำไม่เสร็จ

ในขณะที่ถ้าเราค่อยๆจัดการเรื่องให้มันเล็กลงค่อยๆทำไปทีละส่วน เสร็จไปทีละส่วนก็ทำให้เรามีกำลังใจและสามารถทำงานใหญ่ งานเยอะให้เสร็จได้………..

หรืออาจจะคิดแบบนี้ก็ได้ คือ คิดว่าเรื่องพวกที่ทำให้เครียดเนี่ย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของชีวิต (It is not the end of the world.) ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ “ช่างแม่งเหอะอย่าไปคิดมาก” หลายคนบอกว่าวิธีมันดีจริงหรอ “การช่างแม่ง” เนี่ย

แต่จริงๆแล้วในบางครั้งการปล่อยเรื่องที่เราคิดว่าสำคัญออกจากชีวิตแล้วใช้ชีวิตต่อไป กลับพบว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญนั้นอาจจะไม่ได้สำคัญจริงๆก็ได้

และการไม่มีมันก็ทำให้มีความเครียดน้อยลงและมีความสุขมากขึ้นด้วย เช่น การไม่มีแฟนจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องแย่ขนาดนั้นหรอกนะ มันก็แค่เป็นสิ่งที่เราคิดว่ามีแล้วดี แต่จริงๆไม่มีชีวิตเราก็มีความสุขดีนิ……

ทุกคนหลีกหนีความเครียดไม่ได้หรอก…..

อย่างที่รู้กันว่าไม่มีทางหรอกที่เราจะหลีกเลี่ยงกับความเครียด ใครบ้างเกิดมาไม่เคยเครียดเลย ทุกคนก็เจอกับความเครียดทั้งนั้นแหละ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครที่สามารถจัดการกับความเครียดได้ดีกว่ากัน

คนที่จัดการกับมันได้อย่างดี มีการจัดการทั้งตัวก่อความเครียดและกระบวนการคิด ก็สามารถดำรงชีวิตและยืนหยัดอยู่ได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากของชีวิต แต่คนที่จัดการไม่ได้ก็อาจจะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเราเปรียบ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค คือปัจจัยสี่ทางภายภาพแล้ว การจัดการความเครียดก็คงจะถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ทางจิตใจของมนุษย์นั่นแหละ…….

บางทีชีวิตก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก……….
นอกจากมีความสุขไปวันๆก็เป็นได้………..
แต่ความยากของการได้มาซึ่งความสุขในสมัยนี้…….
ก็อาจจะเพราะเรานิยามความสุขของคนไว้สูงมากก็เท่านั้นเอง…………

—- เนดะ

Reference:
Lazarus, R.S., & Folkman, S. (1984). Stress, appraisal, and coping. New York, NY: Springer.
Selye, H. (1976). Stress in health and disease. Reading, MA: Butterworth’s.

ความในใจของผู้เขียน

หลายคนเดินมาถามว่า “ช่วงนี้ไม่เขียนบทความแล้วหรอ”
บางคนก็บอกว่า “อย่าหยุดเขียนเลย อยากอ่าน” (พูดเหมือนสำนวนหนังฟรีแลนส์ ฟังค์หวะ)
ไม่ได้หยุดเขียนนะครับทุกท่านแค่หยุดไปหาแรงบันดาลใจ…. ตอบหล่อปะหละ 555
แต่จริงๆแล้ว คือ แม่งงานเยอะมากครับ งานประจำ งานไม่ประจำทำเงินน้อยกว่า งานอดิเรก งานช่วยเหลือสังคม เรียนหนังสือ

ด้วยความที่มีเวลาจำกัดมากเลยไม่มีโอกาสมาเขียนอะไรให้ทุกท่านอ่าน
แต่การได้ทำงานหลายๆอย่างและเยอะมาก ก็ทำให้ได้บันดาลใจในการเขียนขึ้นมาเลยเกิดเป็นบทความนี้
รบกวนทุกท่านรับชมและอ่านด้วยนะครับ ช่วยกันกด like facebook fanpage: เนดะ จะเป็นพระคุณ

Leave a comment